Your browser's Javascript functionality is turned off. Please turn it on so that you can experience the full capabilities of this site.
มาถึงวันนี้ วิถีชีวิตของเด็กไทยเปลี่ยนไปจากการใกล้ชิดและเรียนรู้จากธรรมชาติและการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ด้วยมือของเด็กนั้นไม่เหมือนครั้งในอดีต เพราะโลกจินตนาการของเด็กยุคใหม่นี้ วนเวียนอยู่กับหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น โทรทัศน์ และวิดีโอเกม หรือแม้แต่ แท็บเล็ต ตามศูนย์การค้า เพราะพ่อแม่ยุคใหม่จะต้องทำงานนอกบ้าน เวลาที่จะใกล้ชิดลูกและมีส่วนร่วมกันในกิจกรรมของครอบครัว กลายเป็นของหายากขึ้นทุกที เด็กๆ ในวันนี้ ใช้เวลานานนับหลายชั่วโมงที่อยู่กับหน้าจอมากกว่าการอ่านหนังสือ วิ่งเล่น ปั้นดินเหนียว ปีนต้นไม้ เป็นต้น
แม้เทคโนโลยีจะย่อโลกลงมาให้เด็กๆ รู้จักผ่านจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์แล้วแต่เด็กๆ ยังจำเป็นต้องเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านประสบการณ์จริงในชีวิต ความเป็นอยู่แบบสมัยใหม่ทำให้หลายครอบครัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว เด็กควรมีกิจกรรมที่ให้เหมาะสมกับวัยของเขา อาจจะทำกิจกรรมขั้นพื้นฐานง่ายๆ กับเด็กบ้างจะช่วยสร้างสายใยของความสัมพันธ์ ความเข้าใจ การแบ่งปัน และมีความรักในครอบครัวมากขึ้นก็เป็นได้
การเล่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป การเล่นของลูกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะมองข้าม เพราะการเล่นช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมทั้งความสามารถทางกาย อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเด็กก่อนวัยเรียน โดยเด็กจะได้ฝึกทักษะด้านต่างๆ ก็จากการเล่นนี่เอง และสมาธิ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กก็เกิดมาจากการเล่น และเมื่อการเล่นสำคัญอย่างนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมใส่ใจการเล่นของลูกด้วย ยิ่งถ้าเห็นว่าลูกมีลักษณะต่อไปนี้ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ - อายุ 15 เดือนแล้ว แต่ยังไม่ยอมเล่นเกมเหล่านี้กับคุณแม่บ้างเลย เช่น เกมจ๊ะเอ๋ โบกมือบ๊ายบาย เป็นต้น - 2-3 ขวบเข้าไปแล้วแต่ยังไม่เคยเห็นลูกทำท่าทางเลียนแบบกิจวัตรต่างๆ ในบ้านของพ่อแม่บ้างเลย - 3 ขวบแล้วแต่ไม่รู้สึกสนุกกับการเล่นของเล่นคนเดียวเลย - 4 ขวบแล้ว คนอื่นเขาสนุกกับการเล่นซ่อนหา เล่นโยนบอลในสนามเด็กเล่น แต่ลูกเราไม่เห็นสนใจ - 5 ขวบแล้ว แต่ยังไม่รู้จักแบ่งปันแลกเปลี่ยนของเล่นกับเพื่อนเลย
การเล่นเป็นเรื่องจริงจังและมีความสัมพันธ์ต่อเด็กอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้ง การเล่นที่เหมาะสมและถูกต้องตามวัยและพัฒนาการของเด็กจะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคุณภาพของเด็ก การเล่นสำหรับเด็กมีผลต่อการกระตุ้นการเรียนรู้ พัฒนาการของสมอง เสริมสร้างความฉลาด พัฒนาสติปัญญา พัฒนาอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การมีปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่ว่าจะต่างวัยหรือวัยเดียวกัน ฝึกการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การเล่นช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัย เด็กๆได้เรียนรู้ทักษะต่างๆจากการเล่นเช่นการทรงตัว การเคลื่อนไหว การใช้ประสาทสัมผัส การใช้กล้ามเนื้อต่างๆ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ฝึก ความจำ ฝึกความมีวินัย ฝึกความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่นซึ่งจะพัฒนาไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เด็กๆได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากการเล่น ในขณะที่ พ่อ แม่ ผู้ใหญ่ ก็รู้จักลูกหรือเด็กๆได้จากการเล่นของเด็กด้วยเช่นกัน การเล่นเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอย่างหนึ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ เด็กช่วงอายุแรกเกิดถึง 6 เดือน เป็นช่วงที่เด็กจะทำความรู้จักกับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส เช่น การใช้ปากดูดหรืออม เป็นการชิมหรือรู้รส การมอง การไขว่คว้า หรือการกำมือ เป็นต้น เด็กจะเลือกเล่นและสนุกไปตามพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาของเขาซึ่งหาก ผู้ใหญ่ได้มีส่วนส่งเสริมให้เด็กได้เล่นตามความเหมาะสมของพัฒนาการแต่ละช่วงวัยจะช่วยพัฒนาความสามารถ ส่งเสริมพัฒนาการและเอื้อให้เด็กได้แสดงศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ให้เป็นที่ปรากฎออกมาได้ อีกทั้งการเล่นยังเป็นช่องทางที่ให้เด็กได้เรียนรู้ได้ซึมซับคุณธรรม จริยธรรม ที่เห็นได้ง่ายที่สุด คือ การรู้จักแบ่งปันการเล่น หรือการรอคอย คุณพ่อ คุณแม่ เมื่อเห็นความสำคัญของการเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก จึงควรจัดกิจกรรม สำหรับเด็ก ด้วยการเล่นกับเด็กไม่ว่าจะเป็นเกมการละเล่นแบบง่ายๆ ภายในบ้านและให้เหมาะกับอายุของเด็ก ไม่โลดโผนจนอาจทำให้เกิดอันตรายกับเด็ก หรือทำให้เด็กเข้าใจผิดว่าการโลดโผนนั้นเป็นเรื่องดีเรื่องสนุก ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเด็กได้ นิทานนั้นสำคัญไฉน นิทานคือเครื่องมือที่ดีเยี่ยมในการสร้างพื้นฐานทางภาษา จินตนาการสร้างสรรค์ และความรู้สึกรักการอ่านหนังสือ เมื่อเด็กเริ่มต้นด้วยความรู้สึกดีต่อหนังสือ จะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ต่อไป พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจในการเล่านิทานให้เด็กๆฟัง หากไม่สามารถทำได้ก่อนนอน ก็น่าจะจัดให้มีชั่วโมงนิทานในวันหยุด เสาร์หรืออาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือบ่ายตามแต่จะสดวก โดยจัดให้อย่างสม่ำเสมอ ทุกสัปดาห์ ขีดเขียนวาดรูป ทำงานศิลปะ หรือทำขนม หลังจากได้เล่นนิทานให้เด็กได้ฟังแล้ว พ่อแม่ควรจัดให้มีกิจกรรมศิลปะที่ต่อเนื่องจากการอ่าน เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และชักชวนลูกๆทำงานศิลปะกับพ่อแม่ อาทิ การวาดภาพสีน้ำ งานปั้นดิน งานประดิษฐ์ บาติกกระดาษ การทำขนมจากนิทาน เป็นต้น กิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกบ้าน นอกจากกิจกรรมภายในบ้านแล้วควรจัดให้มีกิจกรรมนอกบ้านด้วย เช่น การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ อาจจะพาไปทานข้าวนอกบ้าน ไปซื้อของ ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ไปเที่ยวสวนสนุก เพื่อส่งเสริมให้เด็กๆได้มีโอกาสเล่นกับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง ได้เข้าสังคม และได้รู้จักการแบ่งปัน การเข้าคิวรอคอย เป็นต้น อีกทั้งเด็กๆจะได้รู้จักนำภาพกิจกรรมมาบอกข่าวเล่าเรื่องให้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ที่บ้านเป็นการฝึกการจดจำ การเล่าเรื่อง และเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กด้วยเช่นกัน
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=113154&Ntype=2 เรียบเรียงโดย : www.be-bebe.com