Your browser's Javascript functionality is turned off. Please turn it on so that you can experience the full capabilities of this site.
จะเป็นอย่างไรถ้าบ้านซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่เราสร้างขั้น กลายเป็นสิ่งแวดล้อมอันตรายต่อสุขภาพของลูกรักไปโดยเราไม่รู้ตัว
ทั้งที่อันตรายเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยตัวเราเอง
เพราะชีวิตประจำวันสมัยนี้เราผูกพันกับข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสารเคมีแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ก็จะพบสารเคมีในรูปแบบต่างๆ เช่น น้ำยาโกนหนวด ยาสีฟัน น้ำยาล้างเล็บ น้ำยาทาเล็บ น้ำหอม น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก แชมพู สบู่ และอื่นๆ ที่เราใช้อีกมาก ถ้าอ่านที่สลากข้างขวดจะพบว่ามีคำเตือนว่าห้ามกินหรือกลืนลงไป สารเคมีเหล่านี้ต่างก็เป็นสารพิษที่อาจทำให้เด็กๆ ของเราเจ็บป่วยหรือตายได้ เช่น น้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกจะมีสารเคมี ได้แก่ naphta ซึ่งกดระบบประสาท diethanolamine มีอันตรายต่อตับและchlorophenylphenol ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นระบบเมตาโบลิกของร่างกายและเป็นพิษ อาจเกิดคำถามว่า ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นอันตรายแล้วทำไมเราจึงยังใช้สารพวกนี้ จริงอยู่สารเคมีทุกชนิดเป็นอันตราย แต่ถ้าเราใช้ให้ถูกขนาด ถูกวิธี ก็จะลดอันตรายเหล่านั้น และสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ นอจากนี้มีความพยายามใช้สารที่มีอันตรายน้อยกว่า ทดแทนสารที่มีอันตรายมากกว่าอยู่เรื่อยๆ แต่วิธีที่ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้ ถ้าไม่จำเป็น สถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งรวบรวมจากศูนย์รักษาพิษที่มีคนโทรไปถามข้อมูล พบว่าในปี 1997 มีเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ถูกสารพิษโดยไม่ตั้งใจมากกว่า 1.1 ล้านคน ส่วนใหญ่เกิดที่บ้านและทุกปีเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี จะตายประมาณ 45 คน จากอุบัติเหตุจากการกินยา หรือสารเคมีในบ้าน 57% ของกลุ่มเด็กอายุ 5 ขวบ และต่ำกว่าเป็นพิษที่เกิดจากเครื่องสำอาง น้ำยาทำความสะอาด พืชเป็นพิษ ของเล่น ยาฆ่าแมลง เครื่องมือเขียนภาพและเหล้า และในจำนวน 43% ที่เป็นจากยา พบว่า 23% เป็นยาของคนอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และเรายังพบอีกว่าสารเคมีที่อยู่ในบ้านกว่า 150 ชนิดทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ความพิการของเด็กเมื่อคลอดออกมา รวมถึงโรคมะเร็ง และสุขภาพจิตผิดปกติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการได้รับสารพิษพวกนี้สะสมเข้าไป นี่เป็นข้อมูลที่ได้จากประเทศสหรัฐอเมริกา
สารพิษในบ้านเรื่องใกล้ตัวที่ต้องระวัง ขณะที่เรามัวกังวลกับสิ่งแวดล้อมภายนอก กังวลกับอากาศที่จะหายใจเข้าไป แต่เราลืมคิดถึงสิ่งแวดล้อมในบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่ควรสนใจให้มากกว่า เพราะในอเมริกามีการสำรวจพบว่าอากาศในบ้านเป็นอันตรายมากกว่าอากาศภายนอกบ้านถึง 3-70 เท่า และองค์กรเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของแคนาดายังพบอีกว่า สารเคมีในน้ำยาทำความสะอาด สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้มากกว่าภาวะมลพิษในอากาศภายนอกถึง 3 เท่า เรารู้หรือไม่ว่าน้ำยาทำความสะอาดและผลิตภัณฑ์ที่ใช้เกี่ยวกับร่างกาย สารพิษที่ออกมาในอากาศในรูปของไอหรือละออง ที่เราใช้กันอยู่นั้น เด็กๆ มีโอกาสรับเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากสารพิษพวกนี้จะมีน้ำหนักมากและลอยอยู่ใกล้พื้นมากกว่า
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเรื่องสารเคมีในต่างประเทศที่น่าสนใจคือ • มีสารเคมีถูกผลิตขึ้นมากกว่า 72,000 ชนิดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และมีเพียง 2% ที่เรารู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงรวมทั้งวิธีที่ทำให้เกิดพิษและการแก้พิษ ในขณะที่ปัจจุบันในแต่ละบ้านมีสารเคมีเฉลี่ย 62 ชนิด • มีคนมากกว่า 3 ล้านคนที่ถูกพิษทุกปี จากผลิตภัณฑ์ทางเคมีที่ใช้ในบ้าน และกลุ่มที่เกิดพิษมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ เด็ก • มะเร็งเป็นอัตราตายอันดับหนึ่งของอัตราตายในเด็ก ในประเทศแคนาดา • มีความพยายามในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาเพื่อยกเลิกการใช้น้ำยาซักผ้าขาว เนื่องจากมีการเชื่อมโยงกับการเพิ่มของมะเร็งเต้านมในผู้หญิง การลดลงของสเปิร์มในผู้ชาย และความผิดปกติในการเรียนรู้และพฤติกรรมในเด็ก • โรคหอบหืดมีเพิ่มขึ้นมากกว่า 600% ตั้งแต่ 1980 สมาคมโรคปอดและโรคหอบหืดของแคนาดาพบว่า สารเคมีที่ใช้ความสะอาดภายในบ้านและเครื่องสำอางเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ • ตัวทำละลาย เช่น Formaldehyde, phenol, benzene, toluene และ xylene ซึ่งพบในสารเคมีที่ใช้ทำความสะอาดภายในบ้าน เครื่องสำอาง เครื่องดื่มที่มีสีผสม ผ้าที่มีน้ำยารักษาผ้าหรือน้ำยาทำความสะอาด และ ควันบุหรี่ ทำให้เกิดมะเร็งและเป็นพิษต่อระบบภูมิคุ้มกัน เหล่านี้แม้จะเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ถ้าทบทวนกันดีๆ ชีวิตประจำวันของคนเมืองในบ้านเรา ก็แทบไม่แตกต่างจากประเทศที่กล่าวถึงเท่าไรนัก เรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ จึงต้องใส่ใจระวังกันมากขึ้น
อะไรคือการเป็นพิษ การเป็นพิษคืออะไรก็ตามที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยการกิน การหายใจ การเปื้อนที่ตา หรือที่ผิวหนัง แล้วทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือตาย ซึ่งการเป็นพิษกับร่างกายนั้นเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะดังต่อไปนี้
การเป็นพิษที่ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการระคายเคือง บวมแดง หรือ ไหม้ การเป็นพิษที่เยื่อบุตา ปาก จะทำให้ไหม้ บวม และแดง การเป็นพิษที่ระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายท้อง การเป็นพิษที่ระบบประสาท จะมีตั้งแต่อาการชัก ซึม ไปจนถึงหมดสติ การเป็นพิษที่ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการหายใจลำบาก หายใจเร็ว หายใจมีเสียงดัง จนถึงไม่หายใจ
ตัวการเกิดพิษ สารเคมีทุกชนิดถือเป็นสารพิษ ตัวอย่างพิษที่มีอันตราย เช่น
ยา :ยาทุกชนิด โดยเฉพาะยาหัวใจ ยาความดัน ยาเกี่ยวกับระบบประสาท ยารักษาหวัด ยาเบาหวาน และวิตามิน สารเคมีที่ใช้ภายในบ้าน : จำพวกที่ใช้ทำความสะอาดท่อ ล้างอ่าง ยาฆ่าแมลง น้ำมัน ยาขัดเงา ผงซักฟอก เป็นต้น สารเคมีที่ใช้กับร่างกาย : ยาสีฟัน น้ำยาล้างปาก ยาทาเล็บ ยาล้างเล็บ สบู่ แชมพู เป็นต้น สารเคมีอื่นๆ : carbon monoxide สีที่มีสารตะกั่ว
สารเคมีในผลิตภัณฑ์ที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน
น้ำยาฟอกขาว เป็นสารละลายที่ประกอบด้วย sodium hypochlorite ประมาณ 10% ส่วนใหญ่เด็กจะกินได้น้อยเนื่องจากจะแสบปากมาก พิษเมื่อเข้าสู่ร่างกายคือทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย ควรปฐมพยาบาลด้วยการให้กินน้ำและนมมากๆ สารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดทั่วๆ ไป
• น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ จะมีสารเคมีหลายชนิดผสมอยู่ แต่จะมีเป็นจำนวนน้อยและไม่ทำให้เกิดอันตราย ส่วนใหญ่เป็นการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ควรให้กินน้ำหรือนม ในกรณีที่กินเป็นจำนวนมาก หรือกินน้ำยาเข้มข้นจะทำอันตรายต่อทางเดินอาหาร มีภาวะเลือดเป็นกรด ซึมหรือหมดสติ ปอดอักเสบจากการสำลัก และตับวายหรือไตวาย ความเสี่ยงมากที่สุดเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่มี phenol เป็นตัวผสมหลัก (เช่น chloroxyenol) • ผงซักฟอกหรือน้ำยาที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน มีฤทธิ์เป็นชนิด non-ionic, anionic และ cationic ถ้าเป็นชนิด non-ionic และ anionic จะมีพิษน้อย อันตรายก็ต่อเมื่อมีการสำลักฟองเข้าในหลอดลม ต้องคอยระวังเรื่องทางเดินหายใจ ส่วนชนิด cationic มีพิษมากแต่ไม่พบอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้าน • แอลกอฮอล์ น้ำหอม และน้ำยาล้างปาก รวมถึงน้ำยาที่ใช้หลังโกนหนวด พวกนี้จะมีตัวทำละลายจำพวก ethanol เป็นหลัก สารพวกนี้มีพิษกดระบบประสาทส่วนกลาง และกดการหายใจ น้ำหอม น้ำยาล้างปาก และน้ำยาที่มีแอลกอฮอล์ผสมส่วนใหญ่จะมีขนาดน้อย ยกเว้นในเหล้า ถ้าดื่มเหล้าหรือยาที่เข้าเหล้าจะมี ethanol จำนวนมาก ซึ่งถ้ากินเข้าไปในปริมาณที่เทียบเท่ากับ 0.4 ซี.ซี.ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมของ ethanol บริสุทธิ์ pure ethanol จะต้องดูอาการในโรงพยาบาล เพราะ ethanol จะถูกดูดซึมได้เร็วมากทำให้การล้างท้องไม่มีประโยชน์
ยาฆ่าหนู มีหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะมี warfarin ซึ่งเป็นยาต้านการหยุดของเลือดและ alphachloralose ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ chloral เป็นส่วนประกอบ พวกนี้ทำให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก ต้องสังเกตอาการ ในเด็กที่ไม่มีอาการต้องสังเกตอาการไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง
น้ำมันต่างๆ พวกนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันได้แก่ Paraffin, kerosene, น้ำมันเครื่อง น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น พิษต่อร่างกายแบบทั่วไปจะไม่มี แต่จะมีปอดอักเสบจากสารเคมีซึ่งเกิดจากการสำลัก มีผลิตภัณฑ์กลุ่ม essential oil ซึ่งผสมในพวก aromatherapy พวกนี้จะมีอันตรายมากถ้าเด็กกินเข้าไปต้องให้ดื่มน้ำมากๆ และในเด็กที่ไม่มีอาการต้องรับไว้ดูอาการประมาณ 6 ชั่วโมง
น้ำมันหอมระเหย จะมีส่วนผสมของ essential oils เมื่อกินเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการอาเจียน คลื่นไส้และท้องเสีย ผลต่อร่างกายทำให้เกิดการกดระบบประสาท ถ้าเข้าสู่ร่างกายทางจมูกจะทำให้เกิดการกดระบบหายใจและหยุดหายใจ ในเด็กที่ไม่มีอาการจะต้องดูอาการประมาณ 4 ชั่วโมง ควรให้ดื่มน้ำ รักษาตามอาการ นอกจากนี้สารกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดแผลที่เยื่อบุตาดำได้ ผลิตภัณฑ์จำพวก vapour rubs ที่ทาหน้าอกจะมีส่วนผสมคล้ายกัน แต่จะมีส่วน ointment มาก ส่วนมากจะเป็นแค่การรบกวนทางเดินอาหารเล็กน้อย ไม่มีวิธีรักษาจำเพาะใดๆ
ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเล็บ น้ำยาล้างเล็บส่วนใหญ่มี acetone หรือ ethy acetate เป็นตัวทำละลายตัวอื่นอีก เมื่อกินเข้าไป acetone จะถูกดูดซึมจากกระเพาะและเยื่อเมือก ทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ อาเจียนและการกดระบบประสาท ต้องให้อยู่สังเกตอาการในโรงพยาบาล น้ำยาทาเล็บจะมีสารพิษหลายอย่าง โชคดีที่สารพิษแต่ละอย่างมีปริมาณเพียงเล็กน้อย และขวดบรรจุก็ขนาดเล็ก ดังนั้น ส่วนใหญ่เด็กจะได้รับเข้าไปในปริมาณน้อย ถ้ากินเข้าไปไม่มากกว่าหนึ่งขวดอาจไม่เกิดอันตราย ควรให้กินน้ำหรือนมมากๆ พิษของมันจะเกิดการรบกวนระบบทางเดินอาหารบ้าง
ผงล้างหรือน้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างจานเป็นด่างเข้มข้น ถ้ากินเข้าไปจะทำให้เกิดการกัดกร่อนรุนแรง ถึงแม้จะเป็นอยู่แค่ริมฝีปาก ในช่องปาก และลิ้น ถ้าพบจะต้องล้างน้ำยาที่เหลือออกจากผิวหนังและในปากให้หมด แล้วให้กินน้ำมากๆ
ธรรมชาติของวัยที่ต้องระวัง เด็กอายุ 1-3 ปี : เด็กในช่วงอายุนี้จะเริ่มเคลื่อนไหวและหยิบของได้ เด็กจะสำรวจและหยิบของทุกอย่างในบ้านใส่ปาก ควรป้องกันสิ่งอันตรายโดยเริ่มป้องกันตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือน โดยเก็บสารเคมีและยาไว้ตามคำแนะนำที่จะกล่าวถึงต่อไป เด็กอายุ 3-5 ปี : เด็กวัยนี้จะกินยาอะไรก็ตามที่พบโดยคิดว่าเป็นขนม เป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นและเลียนแบบผู้ใหญ่ ดังนั้น นอกจากเก็บให้ดีแล้ว ไม่ควรกินให้เด็กดูด้วย เมื่อเข้าวัยรุ่น : การป้องกันสารพิษเปลี่ยนจากการปกป้องจากสารพิษเป็นการให้ความรู้ ครอบครัวควรคุยกันเรื่องพิษภัยของเหล้า บุหรี่ สารเสพติดหรือยาอื่นๆ ที่สำคัญคือ ผู้ใหญ่ควรไม่เสพสิ่งเหล่านี้ให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง
ป้องกันลูกจากสารเคมีในบ้าน การป้องกันเด็กจากอุบัติเหตุหรือสิ่งคุกคามอื่นๆ ภายในบ้านเป็นหน้าที่ของพ่อและแม่ ควรเริ่มหาความรู้และให้ความรู้แก่คนอื่นๆ ที่ดูแลเด็กว่าสารชนิดใดเป็นอันตรายต่อเด็กบ้าง และต้องรู้ว่าจะขอความช่วยเหลือได้ที่ไหน สารเคมีที่ใช้ในบ้านมักจะมีสีสวยและอยู่ในภาชนะที่ดึงดูดใจ ทำให้เด็กเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของกิน ฉะนั้นขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ • เก็บไว้ในที่ซึ่งเด็กมองไม่เห็นหรือหยิบไม่ถึง • พยายามเก็บไว้ในภาชนะเดิม ไม่ควรเปลี่ยนภาชนะ และเก็บสลากที่มีใบบอกคุณลักษณะไว้ด้วย • เก็บยา วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์ภายในบ้าน โดยใช้ฝาปิดที่มิดชิดเพื่อป้องกันเด็กเปิดใช้สารเคมี • ก่อนการใช้ให้อ่านคุณสมบัติและวิธีใช้จากสลากให้ดีก่อน • ขณะใช้ไม่ควรเปิดวางไว้ในที่ซึ่งมองไม่เห็น เด็กอาจจะหยิบไปเล่นหรือลืมทิ้งไว้ หลังการใช้ควรเก็บไว้ในตู้ที่ปิดมิดชิด • อย่าเรียกยาว่าเป็นขนม หรือ หลอกเด็กว่าเป็นขนม เด็กอาจเข้าใจผิดว่าเป็นขนมจริงๆ พยายามอย่ากินยาต่อหน้าเด็ก • ตรวจสอบว่าสีที่ผนังบ้านไม่มีการลอกเป็นแผ่น เนื่องจากเด็กอาจกินโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ • เก็บเบอร์ศูนย์รักษาพิษหรือโรงพยาบาลใกล้โทรศัพท์ ในกรณีฉุกเฉิน
จะทำอย่างไรถ้าคิดว่าเด็กถูกพิษ ติดต่อศูนย์รักษาพิษหรือโรงพยาบาลทันที อย่ารอจนเด็กมีอาการ และให้ทำตามหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังนี้ ถ้าเด็กกินสารเคมี • พยายามอย่าให้เด็กกินอะไรจนกว่าจะปรึกษาศูนย์รักษาพิษ • ถ้าติดต่อยังไม่ได้ ให้กินน้ำ หรือ นม ในปริมาณมาก เพื่อเจือจางพิษสารเคมี • ระวังอย่าเพิ่งให้เด็กอาเจียนหรือกินยาให้อาเจียน เนื่องจากจะสำลักเข้าปอด รอจนกว่าแพทย์หรือศูนย์รักษาพิษ
แนะนำให้ทำ หายใจเอาสารเคมีเข้าไป ให้เด็กหายใจอากาศบริสุทธิ์ และเรียกศูนย์รักษาพิษ สารเคมีหกรดผิวหนัง เอาเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีออก และล้างผิวเด็กประมาณ 10 นาที เรียกศูนย์รักษาพิษ สารเคมีเข้าตา ล้างตา 15 นาทีด้วยแก้วขนาดใหญ่ โดยให้เด็กลืมตา ค่อยๆ รินน้ำลงบนลูกตา ใช้น้ำอุ่นเล็กน้อยยกให้ห่างตาเด็ก 2-6 นิ้ว และติดต่อศูนย์รักษาพิษ สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อเด็กเกิดพิษจากสารเคมีไม่ว่าจะโดยทางใด คือสงบสติอารมณ์ ถามเด็กจนแน่ใจว่าได้รับอันตรายจากสารเคมีอะไร เก็บภาชนะ ดูที่สลาก โทรติดต่อเบอร์ที่เตรียมไว้ แล้วเตรียมข้อมูลเหล่านี้ให้ครบถ้วนก่อนส่งลูกถึงมือหมอ • อายุและน้ำหนักของลูก • ข้อมูลโรคและการเจ็บป่วยประจำตัว (ถ้ามี) • สารเคมีเข้าสู่ร่างกายเด็กโดยการกิน หายใจ เข้าตา หรือซึมผ่านผิวหนัง • ได้รับสารเคมีขนาดเท่าไร เวลาใด • ได้รับสารเคมีเข้าไปกี่ชนิด เช่น เด็กหยิบยากินถ้าไม่รู้จำนวนยา ให้คิดว่ากินเข้าไปทั้งหมด • การให้การรักษาเบื้องต้นที่ได้ทำไปแล้วมีอะไรบ้าง • เด็กรู้ตัวดี ซึม หรือมีอาการอื่นๆ หรือไม่ ระหว่างยังไม่ถึงมือหมอ เช่น หายใจมีเสียงดัง หายใจลำบาก • ที่ตั้งของบ้านและระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาล • นำภาชนะหรือขวดที่เก็บสารเคมีไปด้วย
เมื่อได้ข้อมูลครบ ศูนย์พิษจะให้ข้อแนะนำคือ 1. ยืนยันว่าไม่อันตรายและไม่จำเป็นต้องใช้การรักษาจำเพาะใดๆ 2. ต้องให้การรักษาเบื้องต้นตามคำแนะนำและสังเกตดูอาการ 3. ต้องให้การรักษาเบื้องต้นและรีบพาไปโรงพยาบาล
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : facebook : Snowbrand Club - Fanpage เรียบเรียงโดย : www.be-bebe.com