Your browser's Javascript functionality is turned off. Please turn it on so that you can experience the full capabilities of this site.
ระวัง !!! อันตรายเงียบบบ... ที่คุณไม่เคยรู้ตัวเลย...
เลิกใช้...ไขมันทรานส์...
ไขมันทรานส์ (Trans Fats or Hydrogenated Fats หรือ partially Hydrogenated Fats) ไม่ได้เป็นไขมันมีอยู่ตามธรรมชาติแต่เป็นไขมันที่คนเราทำขึ้นมา โดยการใส่ไฮโครเจนเข้าไปในน้ำมันพืช เพื่อให้มีความคงตัว เก็บไว้ได้นานขึ้น และมีรสชาติของน้ำมันที่ดีขึ้น เนื่องจากไฮโดรเจนที่เติมเข้าไปนี้จะเติมเข้าไปเกาะกับสายคาร์บอนในไขมัน เพียงบางส่วนจึงเรียกอีกชื่อว่า partially Hydrogenated Fats แต่หากเติมไฮโดรเจนให้ไปเกาะกับสายคาร์บอนทุกสายเป็น fully hydrogenated fat แล้วก็จะเกือบไม่มี Trans Fat แต่จะเปลี่ยนเป็นไขมันทิ่อิ่มตัวแทน ลักษณะของน้ำมันพืชที่ partially Hydrogenated แล้วมีตั้งแต่เป็นของเหลว หรือ เป็นครีมไปจนถึงเป็นไขมันแข็ง แล้วแต่การใส่ไฮโดรเจนหรือการ hydrogenated เข้าไปมากน้อยเพียงใด ยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้น้ำมันพืชแข็งตัวขึ้น
อาหารที่มีไขมันทรานซ์พบได้ในพวก มาร์การีน หรือน้ำมันซึ่งนำไปทำอาหารประเภทโดนัท อาหารทอด เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ขนมคุกกี้ ขนมคบเคี้ยวและขนมอบต่างๆ ไขมันชนิดนี้มีโทษมากกว่าไขมันอิ่มตัวของสัตว์ โดยไปจะเพิ่มระดับ cholesterol ที่ไม่ดีในร่างกาย โดยเพิ่มทั้ง total cholesterol และcholesterol ที่ไม่ดี (LDL) และไปลดcholesterolที่ดี (HDL)ในร่างกาย จึงควรใช้ไขมันชนิดนี้ให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลยจะยิ่งเป็นการดี
ข้อมูลของไขมันทรานซ์นี้กำลังสร้างความตระหนกและตื่นตัวในต่างประเทศว่า ทั้งในยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อ หัวใจและหลอดเลือดมากที่สุดเมื่อเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆ ในยุโรปและสหรัฐกำหนดให้ต้องมีฉลากแสดงจำนวนของไขมันทรานซ์ที่มีอยู่ในอาหาร ที่เกินกว่า 0.5 กรัม บางประเทศห้ามใช้ไขมันทรานซ์นี้ประกอบอาหารเลย
ทำให้ Mcdonal และKFC และบริษัท fast foodอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันสำหรับทอดที่ไม่มีไขมันทรานซ์ ในสหรัฐและยุโรปแล้ว แต่ก็อาจยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ยังไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ในประเทศไทยยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร และยังไม่มีการกำหนดให้ต้องระบุในฉลากผลิตภัณฑ์
ข้อมูลจาก : สถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง (CDRI)
ไขมันทรานส์ อันตรายต่อสุขภาพมาก
อาหารอันตรายต่อสุขภาพไขมันทรานส์สารก่อมะเร็ง "ทรานส์ " ไขมันอันตราย
ไข มันทรานส์ (Trans fat) เป็นไขมันที่มนุษย์ทำขึ้น โดยการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืชเพื่อทำให้น้ำมันพืชเป็นของเหลวใส กลายเป็นไขมันขุ่นข้นแข็งตัวขึ้น
โรง งานผลิตขนมนิยมใช้ไขมันทรานส์ แทนเนยเพราะไขมันทรานส์ มีสภาพกึ่งแข็ง ที่อุณภูมิห้อง ช่วยไม่ให้อาหารเหม็นหืน รักษารสชาติ และความกรอบของอาหารได้นาน ไม่เสียเร็วแถมไขมันทรานส์ มีราคาถูกกว่าเนยสด และน้ำมันพืช
นอก จากนี้ไขมันทรานส์ยังมีจุดหลอมเหลวสูง จึงทนความร้อนได้ดี โรงงานผลิตขนมและร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจึงนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ในการทอด อาหาร ที่ต้องใช้อุณภูมิสูงเช่นไก่ทอด มันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟราย เป็นต้น
ไขมันทรานส์พบมาก ในมาการีน (เนยเทียม) ซอตเทนนิ่ง(เนยขาว)ครีมเทียม และน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำจนเริ่มหนืด ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ อาทิ เบเกอรี่เค้ก คุกกี้ โดนัท แครกเกอร์ ขนมทอดขบเคี้ยว ฯลฯ มักถูกบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์สะดุดตา มีวางจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด มนุษย์ คิดทำไขมันทรานส์ขึ้นเพื่อใช้แทนไขมันอิ่มตัว ที่เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยเชื่อว่าไขมันทรานส์ที่ทำจากน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเหมือนกับไขมันอิ่มตัว
แต่จากการวิจัยต่างๆพบว่าไขมันทรานส์ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เช่นเดียวกับไขมันอิ่มตัว แถมยังเป็นอันตรายมากกว่าเพราะไขมันทรานส์นอกจากจะเพิ่มคอเลสเตอรอลร้าย( LDL) แล้ว ยังลดคอเลสเตอรอลดี(HDL) ในเลือดและ จากการวิจัยยังพบยังพบว่าไขมันทรานส์ มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังอื่นๆเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคระบบภูมิคุ้มต้านทานทำงานผิดปรกติ เป็นต้น
แม้จะพบมามากกว่า 10 ปีแล้วว่า ไขมันทรานส์เป็นอันตรายมากกว่าไขมันอิ่มตัว แต่เนื่องจากยังไม่มีการคิดค้นไขมันอื่นเพื่อใช้ทดแทน ไขมันทรานส์ สมาคมโรคหัวใจอเมริกันจึงทำได้แค่เพียงออกมาเตือนให้บริโภคไขมันทรานส์น้อย ที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ด้าน สำนักคณะกรรมการอาหารและยา แห่งสหรัฐเองก็ทำได้แค่เพียงออกประกาศให้ผู้ผลิตแสดงปริมาณไขมันทรานส์บน ฉลากโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์อาหารทุกชนิด จากเดิมที่เคยระบุแค่ ปริมาณไขมันทั้งหมด ปริมาณไขมันอิ่มตัว ปริมาณคอเลสเตอรอล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มค.2549 ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อาหารสำเร็จรูป ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพได้ดีขึ้น
ล่าสุดเมื่อปลายปี 2549 ที่ผ่านมาสำนักงานสาธารณสุขของนิวยอร์ก ได้ออกประกาศ ห้ามบรรดาร้านอาหาร ภัตราคาร ตลอดจนผู้ประกอบการค้าด้านอาหารใช้ไขมันทรานส์ในการปรุงอาหาร ซึ่งการประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้สองช่วงด้วยกันโดย ห้ามใช้ไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารบางตัวภายในเดือน กค.2550 และห้ามใช้ไขมันทรานส์ในการปรุงอาหารทุกประเภทภายในเดือน กค.2551
อย่างไรก็ดี สมาคมร้านอาหารแห่งชาติสหรัฐได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องประกาศดังกล่าวว่า
เป็นเรื่องยากที่ร้านอาหารจะปฏิบัติตามเงื่อนเวลาข้างต้น และต้องใช้เวลา 2-3 ปี
ในการหาสิ่งอื่นมาใช้แทนไขมันทรานส์
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการประกาศให้ระบุปริมาณไขมันทรานส์ บนฉลากโภชนาการเหมือนกับสหรัฐอเมริกา ฉะนันเราจึงต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วยการหลีกเลี่ยงอาหารหรือขนมสำเร็จรูปที่ มีไขมันทรานส์ อาทิ เบเกอรี่ เค้ก คุกกี้ โดนัท แครกเกอร์ ขนมทอดขบเคี้ยว ไก่ทอด มันฝรั่งทอด อาหารที่มีฉลากระบุว่า มีการเติมไฮโดรเจนในไขมัน ( partially hydrogenated )เป็นต้น
“เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการบริโภคไขมันทรานส์ ควรเลือกบริโภค อาหารเพื่อสุขภาพ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ อาทิ ธัญพืช อาหารโปรตีนจากปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่ติดหนัง และดื่มน้ำนมขาดไขมันหรือ ไขมันต่ำ จำกัดการรับประทานอาหารไขมัน ขนมหรืออาหารสำเร็จรูป ซึ่งมีไขมันทรานส์แฝงอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ไขมันเทียมก็ให้เลือกใช้ชนิดเหลว ซึ่งจะมีปริมาณไขมันทรานส์น้อยกว่าชนิดแข็ง” ณัฐชนก บุศยานนท์ นักโภชนาการ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิช กล่าวสรุป
ข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (คอลัมม์หมายเหตุผู้บริโภค)
ไขมันทรานส์อันตรายต่อสุขภาพ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกาย
ไขมันทรานส์อันตราย เป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายในบางประเทศ เช่น เดนมาร์ก แคนาดา สหรัฐฯบางรัฐเช่น แคลิฟอร์เนีย เป็นต้น จะออกกฏหมาย ห้ามขายผลิตภัณฑ์ อาหาร ที่มี ไขมันทรานส์ เพราะเป็นสิ่งอันตรายต่อชีวิต หลายอย่าง ซึ่งนอกจากมีในน้ำมัน ที่ใช้ความร้อนสูงตามที่เราทราบกันเป็นส่วนใหญ่ จริงๆแล้วยังมีในอาหารที่ใช้
เนย น้ำมันต่างๆที่เติมถูกเติมไฮโตรเจน เพิ่มเพื่อให้น้ำมันหรือเนย แข็งตัว ดั้งนั้นอาหารที่ผลิตประกอบด้วยเนย น้ำมัน การนำไปอบ ไปทอด ย่างทาน้ำมัน เนยแล้วไปปิ้งย่าง ฯ ก็มีโอกาสเป็นอาหารที่มีไขมันทรานส์ ได้ และอาหารทอดที่ใช้น้ำมันเก่าแล้วเก่าอีกจนมีเศษผงสีดำติดอาหาร ก็ยิ่งเพิ่มการเป็นมะเร็งมากขึ้น
ช่วยระวังไม่ซื้อกิน เพราะมะเร็งบางอย่างเป็นขั้นสุดท้ายแล้วถึงทราบว่าเป็นมะเร็งมันอยู่ในร่าง กายนานได้โดย เจ้าของร่างกายมาทราบตอนใกล้เสียชีวิตมีมากทีเดียวเมื่อถึงเวลาที่ทราบขั้น สุดท้าย บางคนแก้ไขไม่ได้แล้ว เพราะมันอยู่เต็มไปทั่วร่างกายแล้วเพราะเราทุกคนมีเซลล์เป็นล้านๆเซลล์
หากมีสิ่งที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดมะเร็งแค่โรคเดียวก็รักษากันแบบกลุ้มใจ ทุกข์ใจ ฯโดยกว้างทุกคนทราบก็เศร้าใจไปด้วย อยากช่วยก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะเป็นไปแล้ว ก็เป็นกำลังใจให้กินอาหารที่ไม่ไปเพิ่มการเจริญเติมโตของมันเท่านั้นที่ทุก คนทำได้ก่อน และเป็นกำลังใจให้แก่กัน เพื่อสู้กับมันที่อยู่ในร่างกาย อย่ายอมแพ้มัน
ซึ่งเอ่ยแบบนี้เพราะได้ทราบได้รู้จักคนเป็นมะเร็งมากมายที่บางคนอยู่ได้อีก นาน บางคนทราบเดือนเดียวก็เสียชีวิต หรือบางคนช่วยกันบอกว่าให้กินต่างๆนาๆจนเลือกไม่ถูก แต่ก็เสียชีวิต บางคนให้ผ่าตัด บางคนไม่ให้ผ่าตัด ออก ฯลฯ ซึ่งทุกคนก็พยามยามช่วยให้ผู้เป็นมีชีวิตรอดไปนานๆ
ดั้งนั้นคนที่ยังไม่ทราบว่าเป็นหรือไม่ ก็ต้องใส่ใจเรื่องอาหารด้วย เพราะอาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งและอีกหลายๆโรค กับร่างกาย การใส่ใจสุขภาพก่อนเป็นโรค ปัจจุบันนี้สำคัญมาก อย่าให้เป็นโรคก่อนแล้วถึงหันมาใส่ใจ ซึ่งบางครั้งอาจจะช้าช่วยไม่ทัน
อันตรายที่เกิดจากไขมันทรานส์
1. ทำให้ เอช ดี แอล (HDL)โคเลสเตอรอล ลดลง และแอล ดี แอล(LDL)โคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น 2. ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 3. มีความสัมพันธ์กับทารกแรกคลอดน้ำหนักต่ำ 4. ทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน 5. ลดการตอบสนองต่อ บี-เซลล์ และทำให้การแพร่พันธุ์ของที-เซลล์ ในระบบภูมิกันเพิ่มขึ้น 6. เพิ่มความผิดปกติของสเปิร์ม และทำให้การตั้งครรภ์มีปัญหา 7. ลดการตอบสนองของเม็ดเลือดแดงต่ออินซูลิน 8. ยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องกับผนังเซลล์ 9. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของขนาดเซลล์ จำนวนเซลล์ ประเภทของไขมันและส่วนประกอบของกรดไขมัน ในเนื้อเยื่อไขมันเปลี่ยนแปลงไป 10. เพิ่มการเกิดอนุมูลอิสระ สาเหตุการเกิดมะเร็ง 11. เพิ่มอัตราการเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานชนิด ไม่พึ่งอินซูลิน
ข้อมูลจาก : คณะอุตสาหกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
(โครงการเผยแพร่ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์เดลินิวส์)
“ไขมันทรานส์” ไขมันร้ายที่ควรรู้จัก
หลายคนคงจะทราบดีว่า ไขมันไม่ดี ทำให้อ้วนและเป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยใน อันดับต้นๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนเลือกที่จะหย่าขาดจาก ไขมันอิ่มตัว ที่เป็นต้นตอของ LDL คอเลสเตอรอลแต่ยังมีไขมันแปรสภาพหรือไขมันทรานส์ ที่มีอันตรายมากกว่าไขมันอิ่มตัว กลับรอดพ้นสายตาผู้คนมานานหลายปี
อาหารไขมันมี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1 .อาหารไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เป็นหลัก พบในไขมันที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นต้น
2. อาหารไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เป็นหลัก ซึ่งพบในไขมันที่มาจากพืช เช่น น้ำมันพืช ยกเว้น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เนย และโกโก้ ซึ่งเป็นไขมันที่อิ่มตัว โดยสภาพความอิ่มตัวของไขมันจะเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะอ่อนแข็งของไขมัน คือไขมันที่อิ่มตัวจะมีลักษณะที่ค่อนข้างแข็ง ในขณะที่ไขมันที่ไม่อิ่มตัวจะนุ่มหรือเป็นของเหลวไปเลย ทำให้ไขมันจากสัตว์จึงมีลักษณะแข็ง ส่วนไขมันจากพืชจะเป็นของเหลว และไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ (ยกเว้น น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม ที่เราจะเห็นเป็นไขในอุณหภูมิต่ำ เพราะว่าเป็นไขมันจากพืชชนิดกรดไขมันอิ่มตัว)
ไขมันทรานส์หรือไขมันแปรสภาพ
เป็นการแปรสภาพไขมันโดยผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนเพื่อทำให้ไขมันอิ่มตัว ขึ้น เรียกว่ากระบวนการไฮโดรเจนเนชั่น (Hydrogenation) ซึ่งจะทำให้กรดไขมันที่มาจากพืชเปลี่ยนสภาพจากของเหลวเป็นสภาพกึ่งแข็งหรือ แข็งขึ้น เก็บในอุณหภูมิห้องได้ง่ายขึ้น และเก็บได้นานขึ้น กรรมวิธีดังกล่าว นำมาใช้ผลิตเนยเทียม (มาการีน) และน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารและขนมปัง เหมะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารด้านการอบและการทำเบเกอรี่ นอกจากนี้ไขมันทรานส์ยังเกิดในกระบวนการทอดอาหารด้วยน้ำมันความร้อนสูงใน หม้อทอดที่ลึกอีกด้วย
ตัวอย่างอาหารที่มีไขมันทรานส์
แหล่งสำคัญคือ เนยเทียมหรืมาการีน ซึ่งเป็นเนยที่ทำมาจากน้ำมันพืชที่กระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ยิ่งมาการีนชนิดแข็งด้วยแล้ว ยิ่งมีกรดไขมันทรานส์สูงมากกว่ามาการีนอ่อน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากมีไขมันทรานส์สูง ได้แก่ ครีมเทียม ขนมปังกรอบ (Cracker) เบเกอรี่ คุกกี้ ขนมสำเร็จรูป (Snack) รวมถึงอาหารทอดที่ใช้ความร้อนต่อเนื่องกันนานๆ เช่น ไก่ทอด มันทอด กล้วยทอด และปาท่องโก๋ เป็นต้น
อันตรายจากไขมันทรานส์
การรับประทานอาหารที่มีไขมันทรานส์สูงนี้นอกจากทำให้ระดับคอเลสเตอรอลตัว ร้าย (LDL คอเลสเตอรอล ) สูงชึ้นแล้วยังลดระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL คอเลสเตอรอล) อีกด้วย ซึ่งเป็นอันตรายมากกว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวซึ่งจะมีผลเฉพาะเพิ่มระดับคอเล สเตอรอลตัวร้าย (LDLคอเลสเตอรอล ) อย่างเดียว ไขมันทรานส์จึงเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดตีบมากกว่ากรดไขมัน อิ่มตัว มีการศึกษาพบว่าการได้รบพลังงานจากไขมันทรานส์ เพิ่มขึ้นเพียง 2 % จะทำอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นหัวใจอุดตันเพิ่มขึ้นถึง 23 % เลยทีเดียว
หลักการบริโภคไขมัน
ไขมันเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้บริโภคได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ร่างกายได้รับต่อวัน และควรเป็นไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 ซึ่งถ้าคำนวณโดยนักโภชนากร แนะนำว่าไขมันที่ได้รับควรน้อยกว่า 4 – 5 ช้อนโต๊ะ/วัน สำหรับคนที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่/วัน ส่วนไขมันทรานส์นั้น ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคหรือถ้าจำเป็นต้องบริโภคก็ไม่ควรเกินร้อยละ 1 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน (เท่ากับวันละไม่เกิน 20 แคลอรี่) โดยเฉลี่ยประมาณ ½ ช้อนชา อย่างไรก็ดี ไขมันไม่ใช่ตัวร้ายทำลายสุขภาพไปทั้งหมด ขึ้นกับปริมาณและชนิดของไขมันที่รับประทาน การเรียนรู้จักไขมันชนิดต่างๆย่อมก่อประโยชน์ให้ฉลาดเลือกการบริโภคไขมันได้ ถูกต้องและเหมาะต่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลจาก : Thainews ( Author : ฝ่ายการแพทย์ AIA )
ไขมันทรานส์ อันตรายในอาหารฟาสต์ฟู้ด
ไขมันทรานส์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนไขมันทรานส์ที่อยู่ในเนยเทียม เนยขาว ที่แฝงในอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดและเบเกอรี่มากเกินไป ทำให้ปริมาณไขมันและน้ำหนักเพิ่ม ส่งผลให้ตับทำงานผิดปกติ และเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด แนะอ่านฉลากก่อนซื้อ และลดปริมาณการกิน หันมากินผักและผลไม้สดแทน
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ไขมันที่ใช้ทำครีมเทียมนั้นทำมาจากไขมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน ได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง ทำให้น้ำมันเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็น กึ่งของแข็งหรือทำเป็นผงได้ เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม ไขมันที่เปลี่ยนไปนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นไขมันที่เกิดจากขบวนการแปรรูปอาหารโดยลักษณะพิเศษของไขมันทรานส์ใน อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ไขมันทรานส์จะมีคุณสมบัติเป็นกึ่งของแข็ง ไม่เหม็นหืนง่าย ไม่เป็นไข ทนความร้อนสูงและราคาถูก ทำให้ผู้ประกอบการอาหารฟาสต์ฟู้ดและเบเกอรี่ นิยมนำมาใช้ในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อลดต้นทุนการผลิตรวมทั้งการผลิตครีม เทียมทั้งชนิดเหลวและชนิดผงด้วย
นอกจากนี้ ไขมันทรานส์ยังแฝงมากับอาหารชนิดอื่น เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด รวมถึงอาหารที่ระบุว่ามีการเติมไฮโดรเจนลงในไขมัน เมื่อกินไขมันทรานส์เข้าไปสะสมในร่างกาย มากเกินไปทำให้น้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น ตับทำงานผิดปกติ และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ และไขมันอุดตันในเส้นเลือด
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ที่อยู่ในเนยเทียม เนยขาว ควรอ่านฉลากเพื่อดูปริมาณไขมันทั้งหมด ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไขมันน้อยกว่าและระบุชนิดไขมันทรานส์เป็นศูนย์ อ่านส่วนประกอบข้างบรรจุผลิตภัณฑ์ของอาหารดูว่า มีไขมันทรานส์หรือข้อความ partially hydrogenated oil หรือ hydrogenated vegetable oil ที่หมายถึงน้ำมันแปรรูปจากการเติมไฮโดรเจนบางส่วน จำกัดปริมาณการกินขนมอบกรอบ เบเกอรี่ มาร์การีนชนิดแท่ง ฟาสต์ฟู้ด เฟรนซ์ฟรายส์ ที่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณไขมันและน้ำหนักตัว
"บางครั้งแม้ฉลากจะระบุว่าไร้ไขมันทรานส์เพื่อทำให้กินอาหารนั้นเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาหารนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้น ทางที่ดีควรเลือกกินอาหารจากธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการหรืออาหารที่เป็น ชนิดที่เลียนแบบธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์แก่ ร่างกายสูงสุด ไม่ใช่เพียงแต่รสชาติหรือรสสัมผัสที่ถูกลิ้นซึ่งส่งผลเสียกับร่างกาย ควรเลือกกินอาหารที่ไม่หวาน มัน เค็มจนเกินไป เน้นอาหารประเภทผักและผลไม้สด และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเผาผลาญพลังงานและสร้างสุขภาพดีให้กับตนเอง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ข้อมูลจาก : ฐานเศรษฐกิจ
อ้างอิงข้อมูลจาก : ฐาน เศรษฐกิจ,Thainews ( Author : ฝ่ายการแพทย์ AIA ),คณะอุตสาหกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (คอลัมม์หมายเหตุผู้บริโภค),สถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง (CDRI) ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : นิตยสาร รักลูก เรียบเรียงโดย : Healthie Tastie